กลยุทธ์ความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่แข็งแกร่งจะช่วยให้แน่ใจได้ว่าทั้งเทคโนโลยีและพนักงานของคุณถูกดูเเลเฝ้าระวังอยู่เสมอ ต่อไปนี้คือวิธีที่จะช่วยให้คุณสามารถรักษาความปลอดภัยได้

คำว่า “ความปลอดภัยทางไซเบอร์” อาจทำให้นึกถึงแฮกเกอร์ที่รวมตัวกันอยู่ในห้องที่มีแสงสลัว กำลังเจาะระบบป้องกันและขโมยข้อมูลที่มีความละเอียดอ่อน

อย่างไรก็ตาม ความเป็นจริงของการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์นั้นค่อนข้างซับซ้อนกว่ามาก แม้ว่าภัยคุกคามอาจมาจากนักต้มตุ๋นที่มีไหวพริบ แต่ก็สามารถมาจากข้อผิดพลาดของพนักงานโดยไม่ได้ตั้งใจเช่นกัน ในความเป็นจริงมี สามวิธีหลัก ที่อาชญากรไซเบอร์สามารถเข้าถึงองค์กรได้คือ 1. ข้อมูลประจำตัวที่ถูกขโมย 2. การหลอกลวงทางอินเตอร์เนท(ฟิชชิ่ง) และ 3.การใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ที่มี

เรามานิยามความปลอดภัยทางไซเบอร์และวิธีการทำงานกันดีกว่า จากนั้นคุณจะได้เรียนรู้วิธีสร้างการป้องกันทางดิจิทัลที่ดีขึ้นภายในบริษัทของคุณ

ความปลอดภัยทางไซเบอร์คืออะไร?

การรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ คือ การป้องกันขององค์กรจากการโจมตีทางดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง มันจะทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันอาชญากรทางออนไลน์ รวมถึงการจัดการเปลี่ยนเเปลงและการหลอกลวงจากภัยคุกคามทั้งภายในและภายนอก

การรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์เป็นมากกว่าแค่ การรักษาข้อมูลของคุณให้ปลอดภัย แต่ยังเกี่ยวกับเรื่องการปกป้องธุรกิจและชื่อเสียงของคุณ การลงทุนกับมาตรการรักษาความปลอดภัยที่ดีจะทำให้องค์กรของคุณยังคงมีความยืดหยุ่นในการปรับตัวและดูน่าเชื่อถือ

การรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ทำงานอย่างไร?

พื้นที่ออฟฟิศจริงๆยังมีกำหนดชัดเจน เเล้วพื้นที่ในโลกดิจิทัลล่ะ? ดูเหมือนไม่มีขีดจำกัด และแน่นอนว่าภัยคุกคามก็เป็นเช่นกัน บนทุกๆแอปพลิเคชันที่กำหนดเอง บริการคลาวด์ บัญชีลูกค้า เทคโนโลยีที่มีกรรมสิทธิ์ และการเข้าสู่ระบบงานจากระยะไกล ความเสี่ยงต่างๆของคุณก็จะยิ่งเพิ่มทวีคูณ

นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมการมีกลยุทธ์ความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่แข็งแกร่งจึงเป็นสิ่งสำคัญ ด้วยการรวมเทคโนโลยีเข้ากับการเฝ้าระวังของมนุษย์ คุณก็กำลังรักษาความปลอดภัยข้อมูล และ ปกป้องแกนหลักของธุรกิจคุณได้

โปรโตคอลที่แข็งแกร่งรวมถึงการปรับใช้เทคโนโลยีที่สามารถ:

แม้ว่าเทคโนโลยีจะเป็นกระดูกสันหลังในการป้องกันของคุณ แต่อาวุธลับที่แท้จริงก็คือ พนักงานของคุณที่มีบทบาทสำคัญในการต่อสู้ทางดิจิทัลนี้ แต่ก็ต้องมีอุปกรณ์และการฝึกฝนด้วยชุดพัฒนาทักษะและเครื่องมือที่เหมาะสมเท่านั้น โดยการจัดการด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์กับช่องว่างทางทักษะ คุณสามารถส่งเสริมให้พนักงานของคุณสร้างเกราะป้องกันที่ปกป้ององค์กรของคุณได้

ยกตัวอย่าง หากทีมของคุณรู้จักเกม พวกเขาจะไม่ถูกหลอกและทำข้อผิดพลาดได้ง่ายๆ ซึ่งนำไปสู่การละเมิดได้น้อยลง เนื่องจากภัยคุกคามความปลอดภัยทางไซเบอร์มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทีมของคุณจะต้องรักษาความระมัดระวังและให้ความสำคัญกับงานประจำ เช่น การอัปเดตซอฟต์แวร์ ซึ่งเป็นมาตรการป้องกันที่สำคัญ

เหตุใดความปลอดภัยทางไซเบอร์จึงมีความสำคัญ

เช่นเดียวกับการรักษาความปลอดภัยในออฟฟิศจริงของคุณจากผู้บุกรุก สิ่งสำคัญคือต้องทำกับสินทรัพย์ทางดิจิทัลของคุณเช่นเดียวกันด้วย การโจมตีทางไซเบอร์ทำให้เกิดสัญญาณของปัญหาเเละอันตรายมากมาย โดยคาดว่าจะสามารถสร้างความเสียหายได้ สูงถึง 10.5 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2568 นั่นไม่ใช่แค่เพียงตัวเลขเท่านั้น แต่เป็นการปลุกให้ตระหนักว่าถึงเวลาเปลี่ยนเเปลงเเล้วหรือยัง?

ปัจจัยสำคัญหลายประการที่อยู่เบื้องหลังตัวเลขที่เพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจนี้ คือ:

  • พนักงานที่ทำงานระยะไกลและการสลับที่ทำงานที่ต้องใช้งานบนเครือข่าย Wi-Fi ที่ไม่ปลอดภัยหรือการจัดเก็บข้อมูลบนคลาวด์ด้วยอุปกรณ์ส่วนตัว
  • การขยายขอบเขตร่องรอยทางดิจิทัล กำลังเปิดเวกเตอร์ใหม่ๆ ให้แฮกเกอร์ได้ใช้ประโยชน์
  • การตรวจสอบที่ไม่มีประสิทธิภาพกับเวนเดอร์เเละซัพพลายภายนอกองค์กรที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ ซึ่งก่อให้เกิดอันตรายที่คาดไม่ถึงแก่องค์กรของคุณ
  • อาชญากรไซเบอร์ที่มีความชำนาญได้ปรับแนวทางปฏิบัติของตนให้เข้ากับโซลูชันความปลอดภัยทางไซเบอร์เเบบใหม่ที่กำลังใช้งาน

การรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์คือแกนสำคัญของธุรกิจ เนื่องจากโลกดิจิทัลสามารถเป็นทั้งขุมสมบัติและทุ่นระเบิดได้ การรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์จึงมีความสำคัญมากขึ้นในการปกป้องข้อมูลและชื่อเสียงขององค์กร

ประโยชน์ต่างๆของความปลอดภัยทางไซเบอร์

ประโยชน์ของความปลอดภัยทางไซเบอร์ก็คือ การรักษาข้อมูลของคุณให้ปลอดภัย กลยุทธ์ความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่ครอบคลุมจะปกป้องข้อมูลอันมีค่าขององค์กรคุณจากการโจรกรรมและการจัดการยักย้าย รวมถึงทรัพย์สินทางปัญญาของคุณ และข้อมูลส่วนบุคคลรวมถึงข้อมูลทางการเงินของลูกค้าของคุณ

เมื่อคุณมีแนวทางปฏิบัติด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่เข้มแข็ง คุณจะสามารถ:

  • รักษาความต่อเนื่องสม่ำเสมอทางธุรกิจโดยการกู้คืนอย่างอย่างรวดเร็วจากการโจมตีภายนอกและข้อผิดพลาดภายในต่างๆของมนุษย์
  • ปกป้องชื่อเสียงของแบรนด์และความไว้วางใจของลูกค้าในธุรกิจ
  • รักษาการปฏิบัติตามกฎความปลอดภัยทางไซเบอร์และข้อกำหนดด้านกฎระเบียบอื่น ๆ ที่มุ่งปกป้องข้อมูลที่เป็นความลับ

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ: แนวปฏิบัติด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่มีประสิทธิภาพสามารถป้องกันอาชญากรไซเบอร์และปกป้องทรัพย์สิน ลูกค้า และแบรนด์ของคุณได้

ความปลอดภัยทางไซเบอร์ประเภทต่างๆ

เช่นเดียวกับวิธีการล็อคในออฟฟิศเพื่อปกป้องทรัพย์สินของคุณ เป้าหมายของคุณสำหรับการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์คือการปกป้องข้อมูลของคุณ แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ทั่วไป ได้แก่:

1. ไฟร์วอลล์และการแบ่งส่วนระบบเครือข่ายเน็ทเวิร์ค

ไฟร์วอลล์จะสร้างสิ่งกีดขวางทางดิจิทัลที่ถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันการเข้าถึงเครือข่ายและข้อมูลของคุณโดยไม่ได้รับอนุญาต

การแบ่งส่วนระบบเครือข่ายจะซ่อนบางส่วนของเครือข่ายของคุณไว้ด้านหลังเสมือนตู้ล็อกเกอร์ที่ปลอดภัย หากอาชญากรไซเบอร์เจาะเข้าไปในเครือข่ายของคุณ พวกเขาจะไม่สามารถเข้าถึงส่วนอื่นได้ มันเหมือนกับห้องล็อกเกอร์สำหรับข้อมูลดิจิทัลของคุณ

2. การเข้ารหัสลับและการปกปิดข้อมูล

การเข้ารหัสลับจะต้องเข้ารหัสข้อมูลที่มีมีความละเอียดอ่อนด้วยข้อความที่อ่านไม่ได้ เช่นเดียวกับรหัสลับ ข้อมูลที่ต้องเข้ารหัสจะสามารถอ่านได้แค่ผู้ที่รู้วิธีถอดรหัสเท่านั้น การเข้ารหัสลับจะ เเสดงความมั่นคงปลอดภัย ให้กับข้อมูลที่สามารถระบุตัวบุคคลได้และข้อมูลที่มีความละเอียดอ่อน เป็นความลับ หรือเป็นกรรมสิทธิ์

การมาสก์ข้อมูลหรือการปกปิดข้อมูล คือการแทนที่ข้อมูลต้นฉบับด้วยเนื้อหาที่ถูกแก้ไข ตัวอย่างเช่นมันสามารถป้องกันสภาพแวดล้อมในการทดสอบของคุณ โดยการแทนที่ข้อมูลที่ละเอียดอ่อนด้วยข้อมูลจำลองเลียนเเบบ

3. เครือข่ายส่วนตัวเสมือนจริง

เมื่อพนักงานทำงานจากระยะไกลเชื่อมต่อกับเครือข่ายส่วนตัวเสมือนจริง (VPN) แล็ปท็อปและอุปกรณ์อื่นๆ ของพวกเขาจะได้รับการเข้าถึงเครือข่ายของคุณอย่างปลอดภัย ทำให้พวกเขาเสี่ยงต่อการถูกโจมตีน้อยลง

4. ซอฟต์แวร์เเอนตี้มัลแวร์

ซอฟต์แวร์เเอนตี้มัลแวร์ได้รับการออกแบบมาเพื่อหยุด ระบุ และกำจัดมัลแวร์ หรือซอฟต์แวร์ที่เป็นอันตราย เช่น ไวรัสคอมพิวเตอร์หรือเวิร์มต่างๆ ออกจากระบบของคุณ

5. การจัดการข้อมูลและเหตุการณ์ด้านความปลอดภัย

การจัดการข้อมูลและเหตุการณ์ด้านความปลอดภัย (SIEM) ช่วยให้บริษัทต่างๆ ระบุและจัดการกับภัยคุกคามและช่องโหว่ด้านความปลอดภัยที่อาจเกิดขึ้นได้ ก่อนที่จะมีโอกาสขัดขวางการดำเนินธุรกิจ ซอฟต์แวร์จะสแกนระบบของคุณอย่างต่อเนื่องเพื่อหาสัญญาณเตือนการโจมตีทางไซเบอร์ และแจ้งให้คุณทราบทันทีถึงภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น

6. การสำรอง กู้คืน และลบข้อมูล

ความสามารถในการสำรองและกู้คืนข้อมูลของคุณเป็นประจำจะช่วยให้คุณสามารถควบคุมและให้การป้องกันที่สำคัญต่อการโจมตีของแรนซัมแวร์และภัยคุกคามอื่น ๆ ด้วยการสำรองข้อมูลเป็นประจำ คุณก็สามารถ ปกป้ององค์กรของคุณ ป้องกันการสูญหายของข้อมูลและการทุจริต ช่วยให้การดำเนินงานไม่หยุดชะงักและสร้างความอุ่นใจ

การลดขนาดข้อมูลหรือการลบข้อมูลออกจากที่จัดเก็บข้อมูล ลดความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดข้อมูล เพราะใครจะสามารถแฮ็คข้อมูลที่ไม่มีอยู่ได้อย่างไร?

7. การจัดการข้อมูลประจำตัวและการเข้าถึง

เครื่องมือการจัดการข้อมูลประจำตัวและการเข้าถึง (IAM) เป็นองค์ประกอบสำคัญของความปลอดภัยทางไซเบอร์สำหรับองค์กรขนาดใหญ่ เครื่องมือเหล่านี้จะช่วยสร้างกรอบการทำงานที่แข็งแกร่งสำหรับการจัดการและรักษาความปลอดภัยประจำตัวตัวตนผู้ใช้งาน การควบคุมการเข้าถึงทรัพยากรที่สำคัญ และการรับรองการรักษาความลับ ความมั่นคง และความพร้อมใช้งานของข้อมูลที่ละเอียดอ่อน

ฟังก์ชั่นของ IAM หลักประกอบด้วยการตรวจสอบผู้ใช้งาน การอนุญาต และการควบคุมการเข้าถึงตามบทบาท สามารถช่วยให้องค์กรบังคับใช้นโยบายรหัสผ่านที่รัดกุม การตรวจสอบสิทธิ์แบบหลายขั้นตอน และปรับปรุงประสิทธิภาพกระบวนการจัดเตรียมผู้ใช้อัตโนมัติ (user provisioning) และ การยกเลิกการจัดเตรียม (de-provisioning) โซลูชัน IAM สามารถเพิ่มความปลอดภัยโดยการลดความเสี่ยงของการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาตและภัยคุกคามจากภายใน ทั้งยังปกป้องทรัพย์สินดิจิทัลของบริษัทได้ในท้ายที่สุด และยังรับรองการปฏิบัติให้ตรงตามกฎระเบียบ

มาตรการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่สำคัญทั้งหมดนี้มีความสำคัญต่อการสร้างการป้องกันที่แข็งแกร่ง แต่การใช้โซลูชันเหล่านี้เป็นมากกว่าการฝึกแบบครั้งเดียวจบ การอัปเดตและแพตช์เป็นประจำถือเป็นสิ่งสำคัญในการก้าวนำหน้าอันตรายด้าน ความปลอดภัยของข้อมูลล่าสุด

และเช่นเคย โปรโตคอลความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่แข็งแกร่งต้องอาศัยการฝึกอบรมพนักงานอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นพนักงานจึงควรรู้วิธีปกป้ององค์กรของคุณเมื่อภัยคุกคามกำลังพัฒนาขึ้น

ภัยคุกคามความปลอดภัยทางไซเบอร์ประเภทต่างๆ

โจรทางดิจิทัล นักต้มตุ๋น มิจฉาชีพ และแฮกเกอร์ทั้งหลายต่างก็มีเป้าหมายเดียวกัน พวกมันใช้กลอุบายหลากหลายเพื่อขโมยความลับทางดิจิทัลของคุณ

และเมื่อพูดถึงภัยคุกคามความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่เฉพาะเจาะจง ข้อกังวลหลักสามประการ ที่ผู้นำด้านไอทียังคงคำนึงถึงเป็นอันดับแรกๆ คือ การหลอกลวงทางอินเตอร์เนท (phishing), มัลเเวร์เรียกค่าไถ่(ransomware), และการปฏิเสธการให้บริการ(DoS), และการโจมตีกระจายแบบปฏิเสธการให้บริการ(DDoS)

1. การหลอกลวงทางอินเตอร์เนท (phishing)

ฟิชชิ่ง คือ เมื่อผู้ไม่ประสงค์ดีใช้เทคนิคต่างๆ เพื่อโกงข้อมูลส่วนตัวหรือข้อมูลที่อาจเป็นอันตรายจากผู้ใช้งาน โดยหวังว่าจะจับเหยื่อโดยไม่รู้ตัวที่ได้เปิดอีเมลที่เป็นอันตรายหรือคลิกลิงก์ที่เป็นอันตราย และดาวน์โหลดมัลแวร์โดยไม่ตั้งใจ

เมื่อทำการฟิชชิ่งแบบพุ่งเป้าเจาะจง ความพยายามของพวกเขาจะถูกกำหนดเป้าหมายมากขึ้น โดยจัดทำอีเมลหรือการเข้าถึงอื่นๆ ไปยังบุคคลใดบุคคลหนึ่ง และแสดงตนเป็นเพื่อนร่วมงานหรือผู้ติดต่อที่เชื่อถือได้

2. มัลเเวร์เรียกค่าไถ่ หรือแรนซัมแวร์ (ransomware)

แรนซัมแวร์ คือ มัลแวร์ประเภทหนึ่งที่ป้องกันการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์โดยการเข้ารหัส ผู้โจมตีต้องการให้เหยื่อจ่ายค่าไถ่ราคาแพงเพื่อปลดล็อกข้อมูลของตนเอง

3. การโจมตี DoS และ DDoS

การโจมตีแบบปฏิเสธการให้บริการ (DoS) และการโจมตีแบบปฏิเสธการให้บริการแบบเเฝงตัวกระจายจากหลายเเหล่ง(DDoS) เกี่ยวข้องกับการรบกวนเครือข่ายโดยการส่งจำนวนคำร้องขอจนมากเกินไป ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นเรื่องยากหรือแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ผู้ใช้ที่ถูกต้องตามกฎหมายจะสามารถเข้าถึงได้

4. การเข้าถึงข้อมูลภายใน

การละเมิดข้อมูลภายในอาจเกิดขึ้นโดยบังเอิญหรือโดยเจตนาเมื่อพนักงานหรือบุคคลที่ได้รับอนุญาตทำให้ระบบต่างๆของคุณถูกโจมตี

การละเมิดโดยไม่ได้ตั้งใจสามารถเกิดขึ้นได้ เช่น เมื่อแล็ปท็อปของพนักงานถูกขโมยไปจากรถของพวกเขา ทำให้โจรสามารถเข้าถึงข้อมูลการทำงานของพวกเขาได้

การละเมิดโดยเจตนาเกิดขึ้นเมื่อพนักงานที่ประสงค์ร้ายภายในองค์กรจงใจแพร่เชื้อไวรัสในเครือข่าย อนุญาตให้อาชญากรไซเบอร์รายอื่นเข้าถึงได้ หรือจงใจแบ่งปันข้อมูลที่เป็นกรรมสิทธิ์ขององค์กร

5. การโจมตีซัพพลายเชน

ความปลอดภัยในการจัดการข้อมูล ของคุณอาจสมบูรณ์ แต่ผู้จัดจำหน่ายภายนอกองค์กรของคุณล่ะเป็นเเบบนั้นหรือเปล่า การโจมตีซัพพลายเชนเกิดขึ้นเมื่อแฮกเกอร์ค้นพบช่องโหว่ในแนวทางปฏิบัติด้านความปลอดภัยของผู้ขายของคุณ และแทรกซึมเครือข่ายของคุณเพื่อก่อให้เกิดอันตรายผ่านทางช่องทางเหล่านั้น

AI ถูกนำมาใช้ในความปลอดภัยทางไซเบอร์อย่างไร?

เนื่องจากธุรกิจต่างๆ หันมาใช้เครื่องมือ AI มากขึ้นเรื่อยๆ สิ่งสำคัญที่ควรทราบ คือ เทคโนโลยีเหล่านี้ก่อให้เกิดความเสี่ยงและความท้าทายใหม่ๆ สำหรับความปลอดภัยทางไซเบอร์ คุณควร ใช้มาตรการปกป้องข้อมูลที่แข็งแกร่ง ที่สามารถก้าวทันรูปเเบบทางดิจิทัลที่พัฒนาอยู่ตลอดเวลา

ในทางกลับกัน AI มีบทบาทสำคัญ ในการตรวจจับการโจมตีทางไซเบอร์และความพยายามโต้ตอบโดยอัตโนมัติ เนื่องจากจำนวนภัยคุกคามยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเครื่องมือ AI สามารถสแกนเครือข่ายเพื่อหาภัยคุกคามความปลอดภัยทางไซเบอร์ คิดค้นโซลูชั่นต่างๆ และดำเนินการอย่างรวดเร็วเพื่อปกป้องข้อมูลที่ละเอียดอ่อนก่อนที่จะถูกบุกรุก ในเกมที่เดิมพันสูงนี้ ความรู้คือพลังอย่างแท้จริง

เครื่องมืออัตโนมัติสำหรับคนทำงาน ที่จะตรวจจับและประเมินภัยคุกคามผ่าน AI สามารถช่วยลดช่องว่างที่เกิดจากการผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ทั่วโลกที่ ขาดเเคลนถึง 3.4 ล้านคน

การรักษาความปลอดภัยในอนาคต

เนื่องจากเครือข่ายดิจิทัลและรูปเเบบออนไลน์เติบโตอย่างต่อเนื่อง แนวทางปฏิบัติด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์จึงต้องปรับตัวเพื่อปกป้องข้อมูลที่ละเอียดอ่อนและสำคัญต่อองค์กร

เนื่องจากอาชญากรไซเบอร์มีความเชี่ยวชาญมากขึ้นและมีการคาดการณ์ว่าจะเพิ่มมากขึ้นอีกในอนาคต บทบาทของเทคโนโลยีเกิดขึ้นใหม่อย่าง AI และการเรียนรู้เครื่องมือต่างๆ จึงมีความสำคัญมากขึ้น เครื่องมือเหล่านี้จะช่วยติดตามภาพรวมภัยคุกคามที่ขยายตัวและปรับตัวให้เข้ากับอันตรายที่เกิดขึ้นใหม่ได้

แต่องค์ประกอบของมนุษย์ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน นั่นหมายถึงทุกคนตั้งแต่ทีมไอทีของคุณไปจนถึงพนักงาน ซัพพลายเออร์ และคู่ค้าประจำของคุณ ทุกคนต้องอัพเดทความรู้เกี่ยวกับความเสี่ยงทั้งหลายและสนับสนุนแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์อย่างแข็งขันในโลกดิจิทัลที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลานี้ การทำงานร่วมกันของเทคโนโลยีและการเฝ้าระวังของมนุษย์คือการป้องกันที่ดีที่สุดของเราต่อภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่เพิ่มมากขึ้น

ขอบคุณข้อมูลจาก salesforce.com