อย่างที่ทราบกันว่าการแพร่ระบาดได้เปลี่ยนโลกธุรกิจไปอย่างมาก แผนกไอทีก็ไม่มีข้อยกเว้น The Great Reshuffle (การโยกย้ายข้ามสายงานหลังการลาออกครั้งใหญ่) ทำให้มีผู้คนออกจากงานมากมาย เมื่อลำดับความสำคัญส่วนตัวและความเชี่ยวชาญของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไป จึงส่งผลต่อ employee landscape และวิธีการบริหารงานของธุรกิจในปัจจุบัน จะเห็นได้ว่า The Great Reshuffle นี้ก็กำลังเปลี่ยนลำดับความสำคัญของเหล่าซีเนียในแผนกไอทีเช่นกัน

องค์กรเริ่มเล็งเห็นว่าประสบการณ์ไม่เพียงสำคัญต่อลูกค้าเท่านั้น แต่ยังสำคัญต่อพนักงานของพวกเขาด้วย ผู้นำทางธุรกิจจึงหันมาหาไอทีเพื่อให้พวกเขาช่วยมอบประสบการณ์การเปลี่ยนแปลงนี้ ดังนั้นตอนนี้ไอทีจึงมีบทบาทสำคัญในการวางกลยุทธ์ธุรกิจมากขึ้นกว่าแต่ก่อน

เทรนด์ไอทีที่จะมาเปลี่ยนโฉมการทำงานในอนาคตหลังโลกการแพร่ระบาด

จากรายงานล่าสุดของ MuleSoft ที่รวบรวมการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในแผนกไอที มีข้อมูลเชิงลึกจากผู้นำด้านไอทีกว่า 1,000 คน เกี่ยวกับการโยกย้ายบุคลลากร กระบวนการ และ การดำเนินงานทางเทคโนโลยีภายในองค์กรของพวกเขา ผลลัพท์แสดงให้เห็นว่าจุดโฟกัสได้เปลี่ยนไปเป็นการเน้นสร้างความสามารถที่ตัวบุคคลและประสบการณ์ เพื่อตอบรับกับความต้องการล่าสุดของธุรกิจ พนักงาน และลูกค้า

ต่อไปนี้คือ 5 เทรนด์เปลี่ยนโฉมไอทีโดยการใช้ข้อมูลจากรายงาน IT Leaders Pulse Report 2022

  1. ไอทีลงทุนในเทคโนโลยี บุคลากร และกระบวนการ

การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีได้กลายมาเป็นส่วนประกอบหลักของกลยุทธ์ทางธุรกิจ ไอทีได้เปลี่ยนบทบาทจากผู้ดำเนินการด้านเทคโนโลยี ไปเป็นผู้นำทีมธุรกิจที่มีความเชี่ยวชาญทางเทคนิคอย่างลึกซึ้ง ทีมงานทั่วทั้งองค์กรพึ่งพาพวกเขาในการเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้อง ปลดล็อกระบบที่เหมาะสม และเปิดใช้งานระบบอัตโนมัติ แปลได้ว่าไอทีได้กลายมาเป็นประตูสู่หลากหลายฟังก์ชันหลักทางธุรกิจไปแล้ว

จากการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ผู้นำไอทีอาวุโสจึงทำการจัดลำดับความสำคัญในการลงทุนของพวกเขาใหม่ ตลอดทั้งอุตสาหกรรมต่อไปนี้อีกเป็นเวลา 12 เดือน ลำดับความสำคัญของการลงทุนทางไอทีจะถูกแบ่งเป็น 50% เข้าสู่เทคโนโลยี และที่เหลือคือ บุคลากร 24% และกระบวนการต่างๆ อีก 26%

  1. ประสบการณ์ของตัวบุคคลจะกลายเป็นจุดโฟกัสสำคัญ

ปริมาณคร่าว ๆ ของผู้นำไอทีจำนวณ 4 ใน 5 คนมีความเห็นตรงกันว่า การพัฒนาวิธีการเผชิญหน้ากับลูกค้า และเทคโนโลยีแก่พนักงานนั้นมีส่วนสำคัญเป็นอย่างมากในการดำเนินการให้สำเร็จในองค์กร เราทราบกันอยู่แล้วว่าประสบการณ์ของลูกค้านั้นเป็นองค์ประกอบหลักของความสำเร็จ แต่ตอนนี้องค์กรได้ตระหนักว่าพนักงานของพวกเขาก็ควรได้รับประสบการณ์การทำงานที่ดีด้วยเช่นกัน

81% ของผู้นำด้านไอทีเห็นด้วยว่า การลงทุนในตัวบุคคลนั้นมีความสำคัญเป็นอย่างมาก พวกเขาจึงปรับส่วนการลงทุนตามความสำคัญนี้ โดย 82% ลงทุนในคุณภาพความเป็นอยู่ของพนักงานด้วยงบประมาณสร้างสรรค์ที่ใช้เกี่ยวกับการทำงานอย่างยืดหยุ่นและการทำงานระยะไกลนั่นเอง

  1. ระบบอัตโนมัติถูกนำมาใช้จัดการกับช่องว่างทักษะ

ช่องว่างทักษะที่เกี่ยวข้องกับการนำเอาเทคโนโลยีใหม่ไปใช้ และจัดการนั้นเป็นปัญหาที่มีอยู่ก่อนแล้ว แต่หลังสถานการณ์การลาออกครั้งใหญ่ ปัญหาเหล่านี้ก็ยิ่งแย่ลงไปอีก จุดที่น่าสังเกตก็คือ 60% ของผู้นำด้านไอทีกล่าวว่า พวกเขาเจอช่องว่างทักษะในการวางฟังก์ชันสถาปัตยกรรมโซลูชัน ในขณะที่อีก 45% เจอช่องว่างในการจัดการระบบคลาวด์และโครงสร้างขั้นพื้นฐาน

หลายต่อหลายคนหันมาใช้ระบบอัตโนมัติ และระบบประเมินตนเองในการจัดการช่องว่างเหล่านี้ ตลอดทั่วทั้งอุตสาหกรรม กว่า 58% ขององค์กรกำลังแก้ไขปัญหานี้โดยทำให้งาน และกระบวนการต่าง ๆ กลายเป็นระบบอัตโนมัติ และอีก 53% ก็มอบอำนาจให้แก่พนักงานที่ไม่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคนิคในการตอบสนองความต้องการของพวกเขา

  1. ทีมแบบผสมผสานช่วยลดความท้าทายของกระบวนการทำงาน

เมื่อไอทีเข้ามามีส่วนร่วมในกลยุทธ์ทางธุรกิจมากขึ้น ทีมไอทีกับทีมธุรกิจจึงจำเป็นต้องร่วมงานกันบ่อยขึ้น อย่างไรก็ตาม 98% ของผู้นำด้านไอทีกล่าวว่าการทำงานระหว่างทีมนั้นสามารถเพิ่มประสิทธิภาพมให้มากขึ้นไปอีกได้ โดย 91% กล่าวว่า อุปสรรคในกระบวนการทำงานส่งผลต่อการสร้างสรรค์ผลงาน

เพื่อจะกำจัดอุปสรรคเหล่านี้ ผู้นำไอทีมีความคิดที่จะสร้างทีมแบบผสมผสานขึ้นมา ทีมเหล่านี้ คือ ทีมจากสหสาขาวิชาชีพ ซึ่งผสมผสานพนักงานเข้ากับเทคโนโลยี การวิเคราะห์ หรือ ความเชี่ยวชาญด้านโดเมน และผู้ที่มีส่วนรับผิดชอบต่อผลลัพท์ทางธุรกิจ และเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน ซึ่ง 69% ขององค์กรเริ่มมีการสร้าง หรือบ้างก็อยู่ในกระบวนการคัดสรรทีมงานเหล่านี้แล้ว เมื่อมีทีมแบบผสมผสานอยู่ในองค์กร 63% ของผู้นำไอทีกล่าวว่าทีมเหล่านี้จะช่วยให้ธุรกิจเดินทางสู่เป้าหมายได้อย่างแน่นอน

  1. เครื่องมือที่ช่วยสร้างประสบการณ์การเชื่อมต่อกันโดยไม่ต้องใช้รหัสในการเข้าถึง

เมื่อต้องเจอกับผู้คนที่ขาดทักษะในการเขียนโค้ด เหล่าผู้นำอาวุโสด้านไอทีจึงหันมาใช้เครื่องมือที่ต้องการการเข้ารหัสเพียงเล็กน้อยหรือไม่ใช้เลย เพื่อให้ผู้ใช้งานธุรกิจสร้าง และตรวจสอบประสบการณ์ใหม่ๆ ได้ ปัจจุบันองค์กรส่วนใหญ่ถึง 96% ใช้เครื่องมือที่มีการเข้ารหัสน้อยถึงไม่มีเลย และ 36% มีแผนที่ใช้เครื่องมือนั้นมากขึ้นในอีก 12 เดือนข้างหน้า

เมื่อเราพูดถึงการติดตั้งเครื่องมือที่มีการเข้ารหัสน้อยหรือไม่เลยในองค์กรนั้น มีแนวทางบางอย่างที่ผู้นำทางไอทีเลือกใช้ ในองค์กร 32% ใช้กลยุทธ์แบบตรงไปตรงมากับบางส่วนของธุรกิจ, 31% ใช้แนวทางแบบเริ่มจากฐานขึ้นไป ซึ่งขับเคลื่อนโดยนักพัฒนาหรือผู้วางระบบ, อีก 26% ปรับใช้งานกลยุทธ์ล่วงหน้าตลอดทั่วทั้งธุรกิจส่วนใหญ่

ไม่มีอุตสาหกรรมใดเป็นข้อยกเว้นจากความต้องการการเปลี่ยนแปลงของไอทีครั้งนี้ ที่จริงแล้ว องค์กรทั่วทุกอุตสาหกรรมอยู่ภายใต้แรงกดดันที่เพิ่มมากขึ้นในการสร้างความสามารถที่ตัวบุคคล และประสบการณ์ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ผู้ใช้บริการปลายทาง และเหล่าพนักงานของพวกเขา

การค้นพบด้านไอทีในแต่ละภาคส่วน

เราได้แจกแจงรายละเอียดว่าแต่ละภาคส่วนรวบรวมข้อมูลเชิงลึกได้อย่างไรจากรายงาน IT Leaders Pulse Report ซึ่งมีการค้นพบหลักๆดังต่อไปนี้

  • ITDMs ที่ให้บริการด้านการเงินมีเปอร์เซ็นมากถึง 93% กล่าวว่า กระบวนการไอทีที่มีอยู่นั้นขัดขวางประสบการณ์ของพนักงาน
  • ในภาคการดูแลสุขภาพและวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต 100% ของ ITDMs ยืนยันว่าการลาออกครั้งใหญ่ส่งผลให้เกิดช่องว่างทักษะเพิ่มขึ้น ซึ่งช่องว่างที่ใหญ่ที่สุดอยู่ในทักษะด้านไอที และสถาปัตยกรรมโซลูชั่น (71%)
  • ในอุตสาหกรรมค้าปลีก และสินค้าอุปโภคบริโภค 95% ของ ITDMs กล่าวว่า กระบวนการทางไอทีกำลังขัดขวางประสบการณ์ของพนักงาน
  • ความซับซ้อนยังคงเกิดขึ้นในอุตสาหกรรมการผลิต และ 75% ของ ITDMs กล่าวว่า แนวทางที่ดีที่สุดนั้นนำไปสู่ความซับซ้อนด้านไอที
  • เทคโนโลยีคือสิ่งสำคัญที่ต้องลงทุนสำหรับการคมนาคม, สื่อ และการจัดการเทคโนโลยี ITDMs ส่วนใหญ่ 68% มีแผนที่จะลงทุนในเทคโนโลยีใหม่เพื่อแก้ไขปัญหาช่องว่างทักษะ
  • ในส่วนของภาครัฐ 74% ของผู้มีอำนาจตัดสินใจด้านไอที (ITDMs) กำลังสร้างทีมแบบผสมผสานขึ้น

อยากเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับโซลูชั่นจาก MuleSoft ที่จะลดภาระให้กับทีมไอทีของคุณ ติดต่อได้ที่นี่